24 ทีม ยูโร 2024 (EURO 2024) เจาะกลุ่มD ฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์
เจาะกลุ่มD ฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์เป็นทีมที่มีคุณภาพและความสามารถที่น่าทึ่ง ด้วยประวัติศาสตร์การแข่งขันที่ยอดเยี่ยมและแข้งที่มีความสามารถอันพิเศษ ทั้งทีมเสมอของฝรั่งเศสและทีมเสมอของเนเธอร์แลนด์จะเป็นคู่แข่งที่ท้าทายในการแข่งขัน และไม่ควรถูกดูถูกเพราะคุณภาพและประสบการณ์ของพวกเขาในการเล่นฟุตบอลระดับสูง ดังนั้น การตั้งคำถามว่าทีมใดจะคว้าตั๋วเข้ารอบน็อกเอาต์ยูโร 2024 จริงๆ ต้องรอดูอีกสักครู่เพราะเกมเหล่านี้มักมีความสุ่มสลับอยู่ตลอดเวลาครับ
เนเธอร์แลนด์
ทีม “อัศวินสีส้ม” ต้องเผชิญกับการแข่งขันระดับเคราะห์กรรมในการคัดเลือกเข้ารอบโอกาสสุดท้ายในการแข่งขันยูโร ซึ่งกลุ่มของพวกเขาต้องพบกับความท้าทายจากฝรั่งเศส, กรีซ, และสาธารณรัฐไอร์แลนด์เพื่อแย่งการเข้ารอบสุดท้าย.
ผลงานของโรนัลด์ คูมันในการคุมบังเหียนเนเธอร์แลนด์ในรอบ 2 ไม่ได้มีประสิทธิภาพที่โดดเด่นมากนัก แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายโดยสะสมแต่เพียง 8 เกม พวกเขาชนะได้ 6 เกมและแพ้เพียง 2 เกมเท่านั้น
อันดับที่ 2 ในกลุ่มไม่ใช่สิ่งแย่อย่างที่คิด เนื่องจากพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับทีมที่แข็งแกร่งอย่างฝรั่งเศสที่จบอันดับ 1 ในกลุ่ม ซึ่งจะได้รับโอกาสในการแข่งขันรอบสุดท้ายอีกครั้ง
ยูโรคัพครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีที่พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนโฉมตนเองจากการอยู่ในกระแสที่ต่ำกว่าคาดหวังในรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยคูมันแอนด์โคจะมีความมั่นใจในความสำเร็จเหมือนในยูโร 1988 ที่จัดขึ้นที่ประเทศเยอรมนี โดยตอนนั้น เขาเคยเป็นหนึ่งในขุนพลใน “ฟลายอิ้งดัตช์แมตช์” ชุดที่สร้างประวัติศาสตร์ได้
ดาวเดือนปัจจุบันของทีมนี้คือ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ผู้กัมปนาทและแต่งกายในชุดเอสเพนลอ่อนสวยงาม
ทีมเนเธอร์แลนด์ชุดนี้ประกอบไปด้วยนักเตะที่มีประสบการณ์สูงและนักเตะดาวรุ่งอีกมากมาย โดยหลักคือนักเตะที่เคยเล่นในลีกชั้นสูงของยุโรป แต่นักเตะที่สำคัญที่สุดนั่นคือ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์
ในบทบาทของกัปตันทีมของลิเวอร์พูลและเนเธอร์แลนด์ เขาเป็นแกนกลางที่สำคัญในการเล่นของทีมชาติและทีมที่เขาเป็นส่วนหนึ่ง จุดเด่นของฟานไดค์คือความสงบในการรับมือกับสถานการณ์ที่กดดัน การสกัดบอลที่แม่นยำ ความรวดเร็ว ความฉลาดในการอ่านเกม และการทำประตูในจุดต่างๆ ของสนาม เขายังมีความเชี่ยวชาญในการทำการเสียบอลยาวแม่นยำและการขึ้นเกมบุกในจุดต่างๆ ของสนามด้วย
ในเรื่องของเกมรุก ทีมเนเธอร์แลนด์ชุดนี้มีนักเตะที่มีความอันตรายมากมายที่พร้อมจะโจมตีและทำประตู ดังนั้นการมีฟาน ไดค์คอยทำหน้าที่คุมเกมรับให้ น่าจะช่วยทำให้ทีมรู้สึกอุ่นใจมากยิ่งขึ้น และเชื่อว่าจะไม่เสียประตูง่ายๆ
โอกาสเข้ารอบน็อกเอาต์ – 70 เปอร์เซนต์
ฝรั่งเศส
ทีม “ตราไก่” ในยุคของ ดีดิเย่ร์ เดส์ชองส์ เป็นทีมที่เหนือกว่าในการแข่งขันทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ 4 ครั้งที่ผ่านมา โดยทีมนี้ได้เข้ารอบชิง 3 ครั้งได้แก่ ยูโร 2016 (เป็นแชมป์), เวิลด์คัพ 2018 (เป็นแชมป์) และ เวิลด์คัพ 2022 (เป็นรองแชมป์) แม้กระนั้นพวกเขามีการสูญเสียฟอร์มในยูโร 2020 เมื่อพวกเขาพลาดท่าตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย
ผลงานในการคัดเลือกของ “เลส์ เบลอส์” ถือว่าน่าทึ่งมาก พวกเขาไม่เคยแพ้ใครและได้รับคะแนนถึง 22 คะแนน และได้ตะบันคู่แข่งไปถึงจำนวน 29 ประตูเสียเพียง 3 ประตูเท่านั้น ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่า ฝรั่งเศสเป็นทีมที่มีสมดุลอย่างมากทั้งในเกมรุกและเกมรับ
สำหรับการยกพลบุกดินแดนไส้กรอกนั้น เดส์ชองส์ คาดหวังที่จะทำให้ชาติบ้านเกิดประสบความสำเร็จเป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่เคยพบสมหวังไปแล้ว 2 ครั้งในปี 1984 และ 2000 โอกาสที่จะสานต่อความสำเร็จนั้นมีค่อนข้างสูง เนื่องจากทีมมีนักเตะชั้นยอดมากมาย
ตอนนี้ไม่มีนักเตะใดร้อนแรงในโลกของฟุตบอลเท่ากับ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ อีกแล้ว โดยเขาเป็นกัปตันของทีมที่อายุเพียง 25 ปี และมีส่วนร่วมในการคว้าแชมป์เวิลด์คัพปี 2018 และรองแชมป์ครั้งที่ 2 ในปี 2022
เอ็มบัปเป้ ได้ซุ้มกองทัพ “ตราไก่” ไปแล้ว 47 ประตู และตอนนี้กำลังสนุกกับการเล่นในเรอัล มาดริด ทีมในฝันของเขา ซึ่งนั่นอาจทำให้เขาไม่ต้องห่วงเรื่องอนาคตที่สโมสรอีกต่อไป และเขาสามารถโฟกัสไปที่การแข่งขันยูโรได้อย่างเต็มที่
ในศึกยูโร 2020 4 ปีที่แล้ว เกมสุดท้ายของเด็กเป็นหัวหอกแห่งเบญจเพส ก็ยังมีความทรงจำที่ยากลืมได้อยู่ คือการพลาดท่าโทษสุดสำคัญ ทำให้ฝรั่งเศสตกอันดับกับสวิตเซอร์แลนด์ ตกรอบ 16 ทีมแบบไม่มีอาวุธเซียน ดังนั้นนี่เป็นโอกาสที่ดีให้เขาลบล้างความเจ็บปวดนั้นและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
โอกาสเข้ารอบน็อกเอาต์ – 80 เปอร์เซนต์
โปแลนด์
ในช่วงกลางเดือนกันยายน 2023 มิชาล โพรเบียร์ซเข้ามารับตำแหน่งแทน แฟร์นานโด ซานโต้ส ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของทีม โปแลนด์ อย่างมีนัยสำคัญ โดยสามารถยกระดับผลงานของทีมไปถึงรอบเพลย์ออฟในการคัดเลือกก่อนจะคว้าตั๋วเข้ารอบสุดท้ายได้อย่างสำเร็จ
สำหรับโปแลนด์ การทำผลงานในรอบคัดเลือกอาจจะไม่ได้สวยงามอย่างที่คาดหวัง และต้องผ่านการกระเสือกกระสนดิ้นรนอย่างหนัก แต่พวกเขาก็ไม่ใช่ทีมที่จะเอาชนะได้ง่ายๆ อย่างน้อยก็มีความสามารถและประสบการณ์ในการเล่นร่วมกันมานาน ซึ่งเป็นจุดแข็งของพวกเขา
ผลงานในยูโร 2020 ของโปแลนด์ถือว่าน่าผิดหวังมากๆ เนื่องจากพวกเขาตกอันดับแบ่งกลุ่มโดยไม่ชนะใครเลยและได้แค่ 1 คะแนนเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาต้องการที่จะแก้ไขจากผลงานที่ไม่น่าพอใจเมื่อ 4 ปีก่อน และหวังว่าจะนำความสุขมาให้กับเพื่อนร่วมชาติอีกครั้ง
เมื่อพูดถึงสตาร์ประจำทีม คงหนีไม่พ้น โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ผู้เป็นกัปตันและกองหน้าที่ได้ยิงระเบิดเถิดเทิงให้กับประเทศมากมาย โดยทุกสโมสรที่เขาค้าแข้ง สามารถกระซวกตาข่ายเป็นว่าเล่นจนเป็นสถิติของทีมได้อย่างน่าประทับใจ
เลวานดอฟสกี้ มีประสบการณ์ในการเล่นให้กับทีมยักษ์ใหญ่ต่างๆ เช่น โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, บาเยิร์น มิวนิค และปัจจุบันกับ บาร์เซโลน่า โดยมีผลงานที่มากมายในการยิงทั้งในและนอกเขตโทษ และความเก่งในการวิ่งหาพื้นที่ว่างในเขตโทษ นอกจากนี้เขายังมีความเก๋าในการอาจจังหวะเกม
ในศึกยูโร 2020 4 ปีที่แล้ว การแสดงของโปแลนด์อาจไม่โดดเด่นมากนัก แต่ถ้าหากคู่แข่งประมาทงานนี้มีสิทธิ์โดนกระซวกตาข่ายได้ เลวานดอฟสกี้ ก็ยังคงเป็นหนึ่งในที่สำคัญของทีม
โอกาสเข้ารอบน็อกเอาต์ – 50 เปอร์เซนต์
ออสเตรีย
ในยุคปัจจุบันนี้ ออสเตรียได้มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในทีมด้วยการมีราล์ฟ รังนิคเข้ามาควบคุมการเล่นและเปลี่ยนสไตล์ของทีมให้เป็นทีมที่เน้นการเล่นโดดเด่นและเกมบุกมากขึ้น สิ่งนี้มองเห็นได้จากผลงานในการคัดเลือกรอบสุดท้ายของการแข่งขันที่ผ่านมา
การปรับเปลี่ยนมายด์เซตของนักเตะออสเตรียให้ออกจากกรอบความคิดในการเล่นเกมรับและมีเกมบุกที่มั่นคง เป็นสิ่งที่รังนิคได้ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ความเชื่อนี้ได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและช่วยให้ทีมผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายได้อย่างสมบูรณ์
4 ปีที่ผ่านมาในยูโร 2020 ออสเตรียสามารถเข้ารอบไปถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายได้ แม้ว่าฟอร์มการเล่นของพวกเขาจะเน้นการตั้งรับและรอจังหวะสวนกลับ แต่พวกเขาก็สามารถต่อสู้ได้อย่างสำเร็จกับทีมเบลเยียม (เสมอ 1-1 และแพ้ 2-3) และสวีเดน (ชนะ 2 แมตช์)
อย่างไรก็ตาม ออสเตรียไม่ใช่ทีมที่ง่ายต่อการเอาชนะแม้ว่าอาจอยู่ในกลุ่มที่ค่อนข้างยาก แต่พวกเขามีความสามารถและความเชื่อมั่นที่จะเอาชนะทีมใดๆ โดยเฉพาะด้วยประสบการณ์ที่มีอยู่ในทีม ซึ่งรังนิคเคยคุมสโมสรมากมายอย่างเช่น เมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
สตาร์ประจำทีม – มาร์เซล ซาบิตเซอร์ เป็นกองกลางที่สำคัญในการสร้างเกมที่แข็งแกร่งของออสเตรีย มาร์เซลเป็นคนกลางที่สามารถควบคุมการเล่นและผ่านบอลอย่างแม่นยำ รวมทั้งช่วยตัดเกมในส่วนกลางของสนาม ความสามารถในการคุมเกมและการสร้างโอกาสของเขาจะมีความสำคัญอย่างมากในการเอาชนะ
ผลงานที่ดีของมาร์เซล ซาบิตเซอร์ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเมื่อเขาเล่นในสโมสรเช่น เมนฯ ยูไนเต็ด (ครึ่งซีซั่น) และเข้าร่วมในการที่ดอร์ทมุนด์ได้เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศของศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แม้ว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้เรอัล มาดริดในช่วงรอบชิงชนะเลิศอย่างน่าเสียดาย
โอกาสเข้ารอบน็อกเอาต์ – 40 เปอร์เซนต์
ติดตาม ข่าวสารกีฬาฟุตบอล บอลยูโร 2024 ก่อนใครได้ที่ กูรูคาเฟ่
ศูนย์รวม ทรรศนะฟุตบอลอัพเดทข่าวสารแวดวงกีฬาจากกูรูชั้นนำมาพร้อมกับ กิจกรรม UFABET เพียงแอดไลน์ @UFA88SV1